ISO และ JIS จริงๆ แล้วเราอาจจะพูดได้เลยก็ได้ว่า มาตรฐานทั้งสองมันไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไร เพียงแต่ JIS จะออกการรับรองด้วยประเทศญี่ปุ่น และ ISO จะค่อนข้างสากลมากขึ้น แต่หากเราต้องพูดถึงข้อแตกต่างของมันจริงๆ ก็จะมีอยู่ด้วยกันอยู่หลายข้อ ไม่ว่าจะหน่วยการวัด การทำงานของเครื่องมือวัด หรือ การระบุชื่อต่างๆ เช่นเกรดระดับมาตรฐาน JIS ใช้เป็น 1 2 3 แต่ ISO จะเป็น 4H 6H 7H สามารถอ่านข้อมูลเกี่ยวกับ ISO JIS บนเกจวัดเกลียว เพิ่มเติมได้ที่นี้
ISO ย่อมาจาก International Organization for Standardization หรือหากเราแปลตรงตัวก็คือ องค์กรนานาชาติสำหรับมาตรฐานสากล ซึ่ง ISO คือองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรับรองมาตรฐานต่างๆ โดย ISO ก็ยังจะบอกเราถึง Quality Parameters การอ้างอิงของคุณภาพการผลิตของของชิ้นนั้น และรวมไปถึงคุณภาพของโรงงานที่ผลิตอีกด้วย
ISO ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1947 ที่ได้พัฒนาและเผยแพร่มาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท โดยองค์กรนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นการสร้างมาตรฐานระดับสากลระดับโลก หลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง นั้นก็เพราะจุดประสงค์ขององค์กร ที่ต้องการจะเพิ่มขยาย เปิดช่องทางการซื้อขายทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมทั้งด้านความปลอดภัยและคุณภาพ
ISO เลยได้มีการรวบรวมสมาชิกจากหลากหลายประเทศ เพื่อสร้างและรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานระดับสากลของกระบวนการผลิต เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือสังคม
จนในที่สุดที่ ISO ได้มอบมาตรฐานให้กับโรงงานมากกว่า 23000 โรงงานจากทั่วทุกมุมโลก
รากฐานของจุดประสงค์หลัก ISO นั้นก็เพื่อรับรองและการันตีด้านคุณภาพและความปลอดภัยระดับโลก โดย แต่ละประเภทมาตรฐาน ISO จะถูกกำหนดด้วยเลขตามหลัง อย่างเช่น ISO 9001 ที่เรามักจะพบเห็นได้ทั่วๆ ไป ความหมายของมาตรฐานนี้ก็คือ แต่หากเราจะต้องพูดถึงว่า ISO มาตรฐานคลอบคุลมด้านไหนบ้าง จะค่อนกว้างขวาง
และยังมีอีกหลายๆ การคลอบคลุม ที่สามารถใช้มาตรฐาน ISO ได้
แน่นอนว่าการมีมาตรฐานรองรับ นั้นเป็นการประกาศให้กับลูกค้าใหม่ ลูกค้าเก่าของเรา รับรู้ว่าโรงงานของเราคือโรงงานมาตรฐาน สินค้าของเรามีมาตรฐาน เพราะ ISO ที่รับรองโรงงาน เราจะเป็นการรันตีถึงคุณภาพสินค้า การบริการ และระบบต่างๆในโรงงาน และยังเป็นการควบคุมคุณภาพของโรงงานให้อยู่ในด้านดี ส่งผลไปถึงผู้บริโภค และขยายของเขตการขายของเราที่อาจไปไกลถึงระดับโลก
แต่แน่นอนมาตรฐาน ISO ที่เราอยากจะมีหรือมีอยู่แล้ว เราจำเป็นที่จะต้องพัฒนาโรงงานของเราให้ทัดเทียมและเทียบเท่ากับมาตรฐานโรงงานสากลระดับโลก
JIS ย่อมาจาก Japanese Industrial Standards หรือหากเราแปลตรงตัวก็คือ มาตรฐานอุตสาหกรรมญี่ปุ่น โดยมาตรฐานนี้ถูกตั้งขึ้น เพื่อเป็นการรับรองถึงมาตรฐานการผลิตของสินค้าที่มาจากโรงงานญี่ปุ่น และรวบถึงมาตรฐานการรับรองของระบบการทำงานของโรงงานญี่ปุ่นด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหากเราต้องบอกถึงข้อแตกต่างหลักๆ นั้นก็คือ JIS จะมีการใช้ในประเทศญี่ปุ่นเป็นหลักส่วน ISO คือมาตรฐานสากล
JIS ถูกก่อตั้งแต่ปี 1921 ในชื่อของ Japanese Engineering Standards Committee (JESC) หรือ คณะกรรมการญี่ปุ่นของมาตรฐานวิศวกรรม จนในปี 1949 ที่กฎหมายมาตรฐานอุตสาหกรรมได้รับการอนุมัติ JISC ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ในระหว่างปี 1950s-1960s ที่ มาตรฐาน JIS ได้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการรับรองคุณภาพของสินค้า และในปีถัดมา 1980s-1990s ที่ JIS ได้ขยับขยายอุตสาหกรรมกว้างขึ้น เพื่อให้การแข่งขันของสินค้าญี่ปุ่นสามารถทัดเทียมได้ในระดับโลก จนในที่สุดของปี 2000s มาตรฐาน JIS สามารถทัดเทียมและเทียบเท่ากับ ISO และ IEC จนมาตรฐาน JIS สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับในตลาดโลก Global Market ได้อีกด้วย
โดยส่วนมากแล้ว มาตรฐาน JIS จะเป็นการบอกเราถึง คุณภาพของการผลิต คุณภาพตัวสินค้า คุณภาพด้านการออกแบบ และ คุณภาพของการใช้งาน ซึ่งมาตรฐาน JIS ส่วนมากแล้วจะอยู่ใน กระบวนการผลิต วิศวกรรม และ อิเล็คทรอนิคต่างๆ และในการให้มาตรฐาน JIS นั้นก็มีความคล้ายคลึงกับ ISO นั้นก็คือ เกณฑ์การให้มาตรฐานก็จะอ้างอิงจากคุณภาพที่กำหนด โดยจะอ้างอิงจาก Japanese Standards Association หรือก็คือ สมาพันธฺด้านมาตรฐานญี่ปุ่น
Digital marketing and Content designer of IKKI Thailand
ตลาดอุตสาหกรรม นับเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดอันดับต้นๆของประเทศ และการเข้าใจตลาดของอุตสาหกรรม ในทัศนคติของตัวผมเอง ผมมองคำว่า User Experience หรือ ประสบการ์ณการใช้งานของผู้ใช้งาน เป็นหัวใจหลักของการเข้าถึงตลาดอุตสาหกรรม
ในทุกๆครั้ง คำถามมากมายที่ผมมักถามตัวผมเองก่อนเสมอ… สินค้าจะไปเพิ่มอะไรในโรงงาน คุณภาพการผลิตเพิ่มขึ้นไหม ระบบการทำงานจะมีการเปลี่ยนแปลงไหม ระบบการทำงานดีขึ้นไหม ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน…
ซึ่งการตอบคำถามต่างๆเหล่านี้ อันดับแรก คือการมองเห็นศักยภาพของสินค้าของเรา หน้าที่เราจึงเป็นการที่เราจะต้องเข้าใจ ระบบการทำงานในโรงงานทั้งหมด ในสินค้าของเรา และการใช้งานของสินค้า เพื่อการมอบ User Experience ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า